
น้ำเห็ดสดเพื่อสุขภาพ
คุณบุญช่วย ช่วยระดม ผู้อำนวยการศูนย์ ท่านต้อนรับเราด้วยน้ำมะตูมกับน้ำเห็ด น้ำมะตูมนั้นเห็นก็พอจะรู้ ส่วนน้ำเห็ดนั้นตอนแรกที่เห็นไม่รู้ว่าเป็นน้ำอะไร สีมันขุ่นๆ คล้ำๆ เหมือนเราชงน้ำบ๊วยหรือน้ำมะนาวดองแบบเข้าข้น ถามท่าน ผอ.ดูท่านก็บอกว่าเป็น น้ำเห็ดสดๆ ลองดูสิ ดีต่อสุขภาพ
เมื่อผอ.ท่านรับรองอย่างนั้นทุกคนก็ดื่มแล้วหันมาพยักหน้าให้กันบอกว่า รสชาติดีมาก หอมหน่อยๆ คล้ายกับดื่มน้ำรักนกเลย ก็เลยอย่างจะรู้ว่าทำกันอย่างไร ท่านผอ.ก็ดีใจหายรีบติดต่อกลุ่มเกษตรกรเครือข่ายฯ ที่ผลิตน้ำเห็ดเพื่อให้รู้กัน แต่เป็นพอดีกับเวลาที่เกษตรกรนำผลผลิตไปขายตามตลาดนัด กว่าจะได้คุยกันก็ตกค่ำ
ความจริงแล้วเห็ดสามารถนำไปประกอบอาหารได้หลากหลายประเภทมาก ทั้งสดและแห้ง เรียกว่าทำได้สารพัดขึ้นอยู่กับแต่ล่ะชนิดและความเหมาะสม ทำให้เห็ดเป็นผลผลิตทางการเกษตรที่สามารถเพิ่มมูลค่าได้เป็นอย่างดี ตัวอย่างที่เห็นชัดก็คือน้ำเห็ดสกัดที่ลงทุนคัดสรรเอาเห็ดชั้นยอดที่เชื่อกันว่าทรงคุณค่าทางยาแต่โบราณมาผสมผสานกันนั้นถูกเพิ่มมูลค่ากันจนสามารถขายได้ขวดละเป็นพันบาท เพราะมีการยกอ้างสรรพคุณที่ครอบจักรวาลมาอวด ตั้งแต่ชำระล้างตับไตใส้พุงไปจนถึงต้านอนุมูลอิสระ ต้านมะเร็ง ต้านเอดส์
ในปัจจุบันกระแสนิยมการบริโภคเห็ด 3 อย่าง กำลังมาแรง มีการนำเห็ดมารวมกัน 3 อย่างเพื่อปรุงแต่งเป็นอาหารหลากประเภททั้งต้มยำทำแกง ว่ากันว่า ถ้าหากสามารถบริโภคเห็ดได้ 3 อย่างไม่ว่าจะเป็นเห็ดอะไรก็ตาม จะเป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากเพราะเมื่อนำเห็ด 3 อย่างมารวมกันจะมีค่ากรดอะมิโนที่ลดอัตราการเติบโตของเซลล์มะเร็งทั้งช่วยล้างพิษที่สะสมในไตทั้งจากอาหารและสารเคมี เช่น พิษจากสุรา สารตกค้างในเนื้อสัตว์ สารเคมีจากเครื่องสำอางและพิษจากอนุมูลอิสระ นอกจากนั้นยังล้างไขมันในตับ ทำให้ตับแข็งแรง ร่างกายสามารถสร้างเม็ดเลือดแดงได้ดี
ช่วยลดน้ำตาลในเลือดสูง
นั้นเป็นค่านิยมที่พูดกัน แต่ในทางการแพทย์ก็ได้มีการยืนยันว่าเห็ดนั้นมีคุณประโยชน์ที่ดีต่อร่างกายโดยเห็ดมีสารประกอบสำคัญ ( Active lngredient ) ที่ให้ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาและปลอดภัยต่อการบริโภคของมนุษย์หลายชนิด ได้แก่ สารเบต้ากลูแคน สารประกอบโพลีแซ็คคาไรด์ ไกลโคโปรตีน เลคตินและเทอร์ปีนอยด์ ( Ana และคณะ,2008 ) กลุ่มของสารประกอบที่สกัดได้จากเห็ดเหล่านี้ถูกเชื่อว่าให้ผลการรักษาโรคได้ หลายกลุ่มอาการ ( Lull และ คณะ,2009 ) ได้แก่ระบบภูมิคุ้มกันการทำงานบกพร่อง หอบหืดที่เกิดจากภูมิแพ้ การแพ้อาหาร โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง การอักเสบต่างๆในร่างกายโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคผนังหลอดเลือดแข็งตัว ระดับน้ำตาลในเลือดสูงและการติดเชื้อ จากคุณค่าที่เป็นสรรพคุณทางยานี้ ทำให้เกิดความรู้สึกว่า เห็ดคือยาวิเศษที่ธรรมชาติมอบให้มนุษย์ในรูปของอาหาร สำหรับผู้ที่บริโภคอาหารเป็นยาเป็นอย่างยิ่ง
มาว่ากันในเรื่องการทำน้ำเห็ดเพื่อสุขภาพที่ไปขอสูตรมาจากกลุ่มเกษตรกรเครือข่ายฯเขาชะงุ้มดีกว่า อุตส่าไปขอมาจากคุณไมรตี พวงอินทร์ มาหมกเม็ดกะว่าจะทำขายแข่งมาหลายเดือนแล้ว แต่ไม่มีโอกาสสักที วันนี้จะแบ่งปันให้กับท่านที่สนใจ จะทำกินเองหรือทำงานก็น่าจะกำไรดี
สูตรเขาชะงุ้ม
วิธีก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร ถ้าหากไม่เน้นว่าต้องเป็นเห็ดอินทรีย์ไร้สารพิษ แค่หาเห็ดหูหนูดำมาเป็นหลัก โดยเอาเห็ดอื่นอีก 2 อย่าง จะเป็นเห็ดอะไรก็ได้ แต่ถ้าจะให้น่ากินเห็ดอีก 2 อย่างควรเป็นเห็ดที่มีสีขาว เพื่อให้น้ำที่ออกมาไม่ดำจนเกินไป แต่ที่เขาชะงุ้มเน้นเรื่องสุขภาพ เขาเลยใช้เห็ดอินทรีย์เพาะใว้ขายมาทำเห็ด เริ่มแรกให้เอาเห็ดอื่นๆ อย่างล่ะ 1-2 ขีด มาปั่นให้ละเอียด พอละเอียดดีแล้วก็เอาเห็ดหูหนูดำครึ่งกิโลลงไปปั่นให้พอแหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เน้นว่าอย่าปั่นเห็ดหูหนูจนละเอียด เราต้องการให้มีเนื้อเพื่อจะได้รู้สึกเวลาดื่ม มันจะคล้ายๆกับรังนก
ที่ควรหลีกเลี่ยงก็คือเห็ดหูหนูขาวที่ซื้อจากตลาด เพราะทุกวันนี้มีการใช้สารฟอกขาวเพื่อทำให้เห็ดดูน่ากินแต่ถ้าหากปลูกเองก็น่าจะดีสามารถนำมาแทนเห็ดหูหนูดำได้เลย
เมื่อปั่นทุกอย่างจนได้ที่แล้วก็เอาเห็ดไปผสมกับน้ำ 10 ลิตร ต้มด้วยไฟกลางๆ ไม่ต้องร้อนมากจนร้อน แต่ไม่ต้องถึงกับเดือดพล่านผสมน้ำตาลที่ไม่ฟอกสีอีก 1 กิโลกรัม แต่ก็ไม่จำกัดตายตัวขึ้นอยู่กับว่าจะชอบหวานมากหรือหวานน้อยแต่ที่เขาชะงุ้มเขาใช้สูตรนี้จากนั้นก็คนจนน้ำตาลละลายเข้ากันดีแล้วก็ลดลงมาใช้ไฟอ่อน เคี่ยวไปซัก 1 ชม. ยกลงมาทิ้งให้เย็นแล้วค่อยกรอกลงขวด
น้ำเห็ดที่ทำด้วยเห็ดหูหนูดำ ครึ่งกิโลกรัมกับเห็ดอื่น 2-3 ขีดนี้ เมื่อผสมกับน้ำสิบลิตร สามารถกรอกใส่ขวดขนาด 220 ซีซี ที่เทลงแก้วทรงสูงได้พอดี 1 แก้วจะได้ 45 ขวด ขายกันในราคาขวดละ 10 บาท
สำหรับต้นทุนนั้นราคาเห็ดขึ้นอยู่กับตลาดแต่ละช่วง แต่เฉลี่ยแล้วกิโลกรัมละไม่เกิน 100 บาท ราคานี้คือเห็ดในตลาดขายปลีกในกรุงเทพรวมแล้วต้นทุนเห็ดที่ 8 ขีดก็ประมาณ 80 บาท ส่วนที่ราชบุรีนั้นราคาเห็ดถูกกว่านี้เพราะเขาปลูกเองเลยคิดในราคาขายส่ง จำได้ว่าเห็ดทั้ง 3 อย่าง ตกเป็นทุนประมาณ 50 หรือ 60 บาทนี่ล่ะ น้ำตาลทรายอีกกิโลกรัมละ 25 บาท ส่วนขวดที่ตลาดราชบุรีใบละเกือบ 2 บาท 45 ขวดก็ 90 บาท รวมแล้วต้นทุนของกรุงเทพก็ 195 บาท ส่วนต้นทุนที่ราชบุรีก็ราว 175 บาท ไม่เกินนี้ ขายได้ 450 บาทต่อหม้อ หากคิดค่าแรงที่ทำประมาณ หม้อล่ะ 2 ชั่วโมงบวกค่าไฟฟ้าที่ใช้ปั่นกับค่าแก๊สหรือถ่านที่หุงต้มเข้าไปอีกหม้อละ 100 บาท ที่ราชบุรีก็จะกำไรหม้อล่ะ 175 บาท ส่วนในกรุงเทพฯจะกำไรราว 150 บาท หากมีทำเลขายที่ดีสามารถทำยอดขายได้วันล่ะ 2 หม้อ หรือ 90 ขวด ก็จะมีกำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 300 บาท
สำหรับกรุงเทพฯที่ผู้บริโภคกำลังนิยมการบริโภคเห็ด 3 อย่างและมีกำลังซื้อสูง หากมีการปรับปรุงบางอย่างเช่นเปลี่ยนจากน้ำตาลทรายไม่ฟอก มาเป็นน้ำตาลทรายแดงที่ต้นทุนต่อกิโลกรัมจะเพิ่มประมาณ 10 กว่าบาท ก็อาจเพิ่มราคาขายเป็นขวดล่ะ 15 หรือ 20 บาทได้อย่างสบาย เพราะกระแสรักสุขภาพของคนกรุงวมาแรง
ลองทำกันดู ขั้นแรกก็ทำเพื่อกินกันเองก่อน หากคิดว่าดีมีกำลังพอที่จะทำขายก็น่าจะทำรายได้เสริมหรืออาจถึงขั้นเป็นรายได้หลักที่ดีได้